วิวัฒนาการของหลักสูตรกว้าง
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ จากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์ (Thomas Huxicy) สอนเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในราชสำนัก (The Royal Insutunon) ที่นครลอนดอน วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914 โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst Collge) จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Institions) ต่อมาในปี ค.ศ. 1923 มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ วิชาเข้าด้วยกัน ได้แก่ วิชาการคิดแบบแก้ปัญหาขั้นนำ (Introduction to Reflective Thinking) ธรรมชาติของโลกและมนุษย์ (The Nature of the World and of Man) มนุษย์ในสังคม (Man in Society) และความหมายและค่านิยมของศิลปะ (The Meaning and Value of the Arts) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นโรงเรียนมัธยมของสหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรแบบกว้างมาใช้ ทำให้เกิดหมวดวิชาต่างๆ ขึ้น เช่น สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ทั่วไป พลศึกษา ศิลปะ คณิตศาสตร์ทั่วไปและภาษาในตอนแรกๆ การจัดเนื้อหาใช้วิธีจัดเรียงกันเฉยๆ ไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด ทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกำหนดหัวข้อขึ้นก่อน แล้วจึงคัดเลือกเนื้อหาที่สามารถสนองจุดประสงค์จากวิชาต่างๆ นำมาเรียงกันอีกต่อหนึ่ง วิธีนี้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ได้ ขณะเดียวกันก็มีผลพวงตามมา คือ เอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไปเนื้อหาวิชาผสมผสานกันมากขึ้น ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Cumculum)
ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้ ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503 ได้มีการนำเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลำดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น