1. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของหลักสูตรได้ถูกต้อง
ก. ความรู้ ทักษะ กระบวนการที่จัดให้ผู้เรียน
ข. ความรู้ทั้งมวลที่จัดให้ผู้เรียน
ค. ประสบการณ์ทั้งมวลที่จัดให้ผู้เรียน
ง. ประสบการณ์จากครูผู้สอนที่ถ่ายทอดให้ผู้เรียน
2. ขั้นตอนแรกของการพัฒนาหลักสูตรคือ
ก. การนำหลักสูตรไปใช้
ข. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ค. กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ง. การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์เรียนรู้
3. บุคคลในข้อใดมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตร
ก. ผู้บริหาร
ข. ครู
ค. ชุมชน
ง. ถูกทุกข้อ
4. ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาหลักสูตรคือ
ก. การนำหลักสูตรไปใช้
ข. กำหนดจุดมุ่งหมาย
ค. การประชาสัมพันธ์หลักสูตร
ง. ประเมินหลักสูตร
5. เน้นครูเป็นศูนย์กลาง เน้นสอนแบบบรรยาย วิชาที่เน้นคือ อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น
ก. สารัตถนิยม(Essentialism)
ข. นิรันตรนิยม (Perenialism)
ค. อัตถิภาวนิยม (Existentialism)
ง. ปฏิรูปนิยม/บรูณาการ (Reconstructionism)
6. หลักสูตรเน้นเนื้อหา เหตุผลและสติปัญญา
ก. สารัตถนิยม(Essentialism)
ข. นิรันตรนิยม (Perenialism)
ค. อัตถิภาวนิยม (Existentialism)
ง. ปฏิรูปนิยม/บรูณาการ (Reconstructionism)
7. เน้นการเรียนรู้ที่ลงมือปฏิบัติจริง
ก. สารัตถนิยม(Essentialism)
ข. พิพัฒนนิยม หรือวิวัฒนาการนิยม (Progressivism)
ค. นิรันตรนิยม (Perenialism)
ง. อัตถิภาวนิยม (Existentialism)
8. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
ก. วิสัยทัศน์ สมรรถนะ จุดมุ่งหมาย หลักการ
ข. วิสัยทัศน์ หลักการ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะ
ค. จุดมุ่งหมาย หลักการ สมรรถนะ วิสัยทัศน์
ง. จุดมุ่งหมาย หลักการ วิสัยทัศน์ สมรรถนะ
9. ข้อใดอธิบายคำว่า”หลักสูตรเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ใช้ในการจัดการศึกษา”ได้ถูกต้องที่สุด
ก. เพื่อให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ครบกระบวนการและมีประสิทธิภาพ
ข. เพื่อพัฒนาไปสู่ความมุ่งหมายของหลักสูตร
ค. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมต่างๆ อันพึ่งประสงค์
ง. เพื่อนให้ผู้เรียนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของแผนการศึกษาแห่งชาติที่ต้องการให้หลักสูตรช่วยพัฒนาบุคคลต่างๆให้เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและพัฒนาการในทุกๆด้าน
10. ทุกข้อคือการพัฒนาหลักสูตร แบ่งได้เป็น4 ระดับ ยกเว้นข้อใด
ก. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
ข. การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
ค. การพัฒนาหลักสูตรระดับเขตพื้นที่
ง. การพัฒนาหลักสูตรระดับห้องเรียน
11. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึ่งประสงค์
ข. มีความรู้ รักชาติ อนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย
ค. ความสามารถในการสื่อสาร การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิตและอนุรักษ์วัฒนธรรม
ง. ความสามารถในการสื่อสาร การคิด แก้ปัญหา การใช้ทักษะสื่อสาร การใช้เทคโนโลยี
12. คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ข้อแรกที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือข้อใด
ก. วินัย
ข. .ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
ค. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ง. อยู่พอเพียง
13. วิสัยทัศนของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก. ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ
ข. ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ค. ทุกคนได้รับเงินอุดหนุนอย่างเท่าเทียมกัน
ง. ทุกคนเป็นพลเมืองดีของสังคม
14. กิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คือกิจกรรมในข้อใด
ก. กิจกรรมแนะแนว
ข. กิจกรรมนักเรียน
ค. กิจกรรมบำเพ็ญตน
ง. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
15. ข้อใดกล่าวถูกต้อง กิจกรรมที่มุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัยความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
ก. กิจกรรมแนะแนว
ข. กิจกรรมนักเรียน
ค. กิจกรรมบำเพ็ญตน
ง. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
16. เน้นการเพิ่มพูนความรู้ และทักษะเฉพาะด้าน เป็นหลักการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางฯ ระดับใด
ก. ระดับก่อนประถมศึกษา
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
17. เน้นทักษะ ด้านการอ่าน เขียน คิดคำนวณ เป็นหลักการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนแกนกลางฯ ระดับใด
ก. ระดับก่อนประถมศึกษา
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
18. การจัดเวลาเรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 51 ในระดับ ประถมศึกษากำหนดจัดอย่างไร
ก. กำหนดเป็นรายเดือน
ข. กำหนดเป็นรายภาค
ค. กำหนดเป็นรายปี
ง. กำหนดตามครูผู้สอน
19. การพิจารณาให้นักเรียนซ้ำชั้น ต้องคำนึงถึงนักเรียนด้านใดเป็นสำคัญ
ก. อายุ
ข. วุฒิภาวะและสมอง
ค. วุฒิภาวะและความรู้ความสามารถ
ง. ร่างกายและสมอง
20. แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา หมายถึง แบบ (ปพ.) ใด
ก. ปพ.1
ข. ปพ.2
ค. ปพ. 3
ง. ปพ.4
1. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่องค์ประกอบของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
    โครงสร้างเวลาเรียน
    คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน
    มาตรฐานการเรียนรู้
    เกณฑ์การจบหลักสูตร
2. ข้อใดไม่ใช่ การจัดระดับการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
    ระดับก่อนประถมศึกษา
    ระดับประถมศึกษา
    ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
    ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
3. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑
    รักชาติ ศาสนา กษัตริย์
    มุ่งมั่นในการเรียน
    มีวินัย
    รักความเป็นไทย
4. ข้อใด ไม่ใช่ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
    ความสามารถในการสื่อสาร
    ความสามารถในการคิด
    ความสามารถในการใช้ชีวิต
    ความสามารถในการแก้ปัญหา
5. สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฎิบัติได้ตรงกับข้อใด
    สาระการเรียนรู้
    มาตรฐานการเรียนรู้
    ตัวชี้วัด
    หลักสูตรแกนกลางการศึกษา
6. มาตฐานการเรียนรู้ มีองค์ประกอบทั้งหมดกี่ส่วน
    มีองค์ประกอบทั้งหมด 1 ส่วน(K)ความรู้
    มีองค์ประกอบทั้งหมด 2 ส่วน (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม
    มีองค์ประกอบทั้งหมด 3 ส่วน (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม , (A) กระบวนการ
    มีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วน (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม , (A) กระบวนการ , (N) ความรู้
7. สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย
    (K)ความรู้
    (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม
    (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม , (A) กระบวนการ
    (K)สิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ , (P) คุณธรรม จริยธรรม , (A) กระบวนการ , (N) ความรู้
8. ข้อใดไม่ใช่ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลาง 51
    กิจกรรมแนะแนว
    กิจกรรมนักเรียน
    กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
    กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด
9. ระดับการศึกษาภาคบังคับ ประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 ใช้ตัวชี้วัดใดเป็นเป้าหมาย
    ตัวชี้วัดชั้นปี
    ตัวชี้วัดช่วงชั้น
    ตัวชี้วัดช่วงชั้นปี
    ตัวชี้วัดชั้นปีช่วงชั้น
10. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็นกี่ระดับ มีอะไรบ้าง
    แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ระดับชั้นเรียน , ระดับสถานศึกษา
    แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ระดับชั้นเรียน , ระดับสถานศึกษา , ระดับเขตพื้นที่การศึกษา , ระดับชาติ
    แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ระดับชั้นเรียน , ระดับกลุ่มสาระ , ระดับสถานศึกษา , ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับชาติ , ระดับโลก
    แบ่งออกเป็น 8 ระดับ ระดับบุคคล , ระดับชั้นเรียน , ระดับกลุ่มสาระ , ระดับสถานศึกษา , ระดับจังหวัด ระดับเขตพื้นที่การศึกษา , ระดับชาติ , ร
1. ข้อใด คือคุณสมบัติที่สำคัญของหลักสูตร
ก. มีความเป็นพลวัตปรับเปลี่ยนทางสังคม
ข. มีความเป็นเอกภาพ มีความเหมาะสมทุกสถานการณ์
ค. เป็นข้อสรุปของนักวิชาการทุกสาขาแล้ว
ง. สังคมจะเปลี่ยนแปลง หลักสูตรสามารถคงอยู่ได้
ตอบข้อ ก. มีความเป็นพลวัตปรับเปลี่ยนทางสังคม

2. การพัฒนาหลักสูตร ต้องดำเนินการตามข้อใด
ก. กำหนดเป้าหมาย
ข. เลือกกิจกรรมและวัสดุประกอบการเรียนการสอน
ค. กำหนดระบบที่เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบข้อ ง. ถูกทุกข้อ

3. ข้อใด ไม่ต้องคำนึงถึงในหลักการพัฒนาหลักสูตร
ก. ผู้เชี่ยวชาญมีความสามารถ
ข. ความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง
ค. สิ่งที่ผู้ดำเนินงานจะได้รับ
ง. ฝึกอบรมครูประจำการ
ตอบข้อ ค. สิ่งที่ผู้ดำเนินงานจะได้รับ

4. การจัดทำหลักสูตร ระดับประถมศึกษา ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นหน้าที่ของการพัฒนาหลักสูตรในข้อใด
ก. หลักสูตรระดับชาติ
ข. หลักสูตรระดับท้องถิ่น
ค. หลักสูตรระดับห้องเรียน
ง. หลักสูตรระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ตอบข้อ ก. หลักสูตรระดับชาติ

5. ข้อใด ไม่ใช่ หน้าที่รับชอบของ “ศูนย์หลักสูตร”
ก. จัดทำเอกสารประกอบหลักสูตร
ข. ปรับปรุงหลักสูตร
ค. ฝึกอบรมในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
ง. จัดทำคู่มือครู
ตอบข้อ ค. ฝึกอบรมในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้

6. ข้อใดคือ ประโยชน์ ที่เกิดจากการพัฒนาหลักสูตร สำหรับครูผู้สอน
ก. พัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องความเจริญของสังคมและของโลก
ข. สามารถจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์
ค. ระบบการศึกษาก้าวหน้าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ง. ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม
ตอบข้อ ข. สามารถจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์

7. องค์ประกอบในการพัฒนาหลักสูตร ไม่ควรคำนึงถึงข้อใด
กง ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
ข. ความต้องการของสังคม
ค. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
ง. การบริหารจัดการของสถานศึกษา
ตอบข้อ ง. การบริหารจัดการของสถานศึกษา

8. การดำเงินงานในการพัฒนาหลักสูตร เริ่มต้นจากข้อใด
ก. การเลือกและการจัดเนื้อหาวิชา
ข. กำหนดจุดมุ่งหมาย
ค. การนำเสนอสูตรไปใช้
ง. การประเมินผลหลักสูตร
ตอบข้อ ข. กำหนดจุดมุ่งหมาย

9. ข้อใด ไม่ใช่ รายละเอียดของหลักสูตร
ก. การบริหารหลักสูตร
ข. การจัดแผนการเรียนการสอน
ค. ศักยภาพและความถนัดของผู้เรียน
ง. วิธีการสอนและคุณสมบัติผู้สอน
ตอบข้อ ค. ศักยภาพและความถนัดของผู้เรียน

10. การพัฒนาหลักสูตร ให้มีคุณภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ คือข้อใด
ก. ผู้สอนพัฒนาคุณวุฒิของตนให้ทัดเทียมที่อื่น
ข. ผู้เรียนและชุมชนสนใจแสวงหาสถานศึกษาที่ดี
ค. ผู้บริหารสนใจพัฒนาศักยภาพด้านวิชาการและวิชาชีพ
ง. การประชุมปรึกษาร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ตอบข้อ ง. การประชุมปรึกษาร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

11. ข้อใด ไม่ใช่ รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
ก. จุดมุ่งหมาย ข. จัดประสบการณ์
ค. คุณสมบัติครู ง. การประเมินครู
ตอบข้อ ค. คุณสมบัติครู

12. ข้อใด ไม่ใช่ แหล่งข้อมูลในการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ก. สังคม ข. ผู้เรียน
ค. ผู้เชี่ยวชาญ ง. ครูผู้สอน
ตอบข้อ ง. ครูผู้สอน

13. เกณฑ์ในการพิจารณา เลือกประสบการณ์การเรียนรู้ ที่ไทเลอร์ไม่ได้กำหนดไว้ คือ ข้อใด
ก. ครูพึงพอใจในการจัดประสบการณ์
ข. ผู้เรียนพึงพอใจในการจัดประสบการณ์
ค. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกและเรียนรู้
ง. ประสบการณ์ทุกด้านเน้น ตอบสนองจุดประสงค์
ตอบข้อ ก. ครูพึงพอใจในการจัดประสบการณ์

14. ข้อใด ไม่ใช่ ความสัมพันธ์ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบแนวตั้งและแนวนอนของไทเลอร์
ก. ความต่อเนื่อง ข. ประสบการณ์
ค. การจัดช่วงลำดับ ง. บูรณาการ
ตอบข้อ ข. ประสบการณ์

15. การวัดและวิเคราะห์สถานการณ์ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่านั้นตรงกับข้อใด
ก. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ข. การเลือกกิจกรรม
ค. การจัดประสบการณ์
ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ง. การประเมินผล

16. ข้อใด ไม่ใช่ เกณฑ์การพิจารณาเครื่องมือที่ใช้วัดผลหลักสูตร
ก. ความเป็นปรนัย ข. ความเป็นอัตนัย
ค. ความเชื่อมัน ง. ความเที่ยงตรง
ตอบข้อ ข. ความเป็นอัตนัย

17. ข้อใดคือ แนวความคิดของฮิลดา ทาบา ที่มีต่อการพัฒนาหลักสูตรต่างจาก ไทเลอร์
ก. การดำหนดจุดมุ่งหมาย
ข. การเลือกและจัดประสบการณ์
ค. ครูควรมีส่วนร่วม
ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ค. ครูควรมีส่วนร่วม

18. ผู้ที่ได้รับแนวคิดของไทเลอร์ และทาบา แล้วนำมาปรับขยายการพัฒนาหลักสูตรให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน คือข้อใด
ก. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ ข. ฟ็อกซ์
ค. กู๊ดแล็ด และ ริชเทอร์ ง. ริชเทอร์
ตอบข้อ ก. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์

19. การที่สามารถบอกว่า หลักสูตรบรรลุตามเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ทราบได้จากข้อใด
ก. กำหนดขอบเจต ข. การออกแบบหลักสูตร
ค. การใช้หลักสูตร ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ง. การประเมินผล

20. ข้อใด ไม่ใช่ ข้อคำนึงถึงในการออกแบบหลักสูตร
ก. เลือกประสบการณ์ที่เหมาะสม
ข. การจัดเนื้อหาสาระ
ค. ความพร้อมของสถานศึกษา
ง. ความต้องการของผู้เรียนและสังคม
ตอบข้อ ค. ความพร้อมของสถานศึกษา
กิจกรรม(Activity) เกณฑ์คุณภาพหลักสูตรที่พึงประสงค์

หลักสูตรปริญญาตรี
เกณฑ์การประเมิน 

1. คุณสมบัติของอาจารย์ ประจําหลักสูตร คุณวุฒิระดับปริญญาโทหรือเทียบเท่า หรือดํารงตําแหน่งทางวิชาการไม่ต่ํากว่าผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ในสาขาที่ตรงหรือสัมพันธ์กับสาขาวิชาที่เปิดสอน อย่างน้อย 2 คน

2. จํานวนอาจารย์ประจํา หลักสูตร ไม่น้อยกว่า 5 คน และเป็นอาจารย์ประจําเกินกว่า 1 หลักสูตรไม่ได้ และประจําหลักสูตร ตลอดระยะเวลาที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรนั้น

3. การปรับปรุงหลักสูตร ตามรอบระยะเวลา ที่กําหนด ต้องไม่เกิน 5 ปี (จะต้องปรับปรุงให้เสร็จและอนุมัติ/ให้ความเห็นชอบโดยสภา มหาวิทยาลัย/สถาบัน เพื่อให้หลักสูตรใช้งานในปีที่ 6) 

หลักการพัฒนาหลักสูตร
             จากความคิดเห็นของนักการศึกษาในเรื่องของความหมายของการพัฒนาหลักสูตรที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนๆ อย่างเป็นระบบระเบียบและเพื่อให้งานการพัฒนาหลักสูตรดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายของการพัฒนาอย่างแท้จริงเราจึงต้องคำนึงถึงหลักในการพัฒนาหลักสูตร
            1. การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องมีผู้นำที่เชี่ยวชาญและมีความสามารถในงานพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างดี
            2. การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและการประสานงานอย่างดีจากบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกระดับ
            3. การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องมีการดำเนินการเป็นระบบระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป เริ่มตั้งแต่การวางจุดมุ่งหมายในการพัฒนาหลักสูตรนั้นจนถึงการประเมินผลการพัฒนาหลักสูตรในการดำเนินงานจะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงว่า  การพัฒนาหลักสูตรที่จุดใด จะเป็นการพัฒนาส่วนย่อยหรือการพัฒนาทั้งระบบ และจุดดำเนินการอย่างไรในขั้นต่อไป สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตรไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดหลักสูตร ครูผู้สอน หรือนักวิชาการทางด้านการศึกษาและบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันพิจารณาอย่างรอบคอบ และดำเนินการอย่างมีระเบียบระบบแบบแผนทีละขั้นตอน
            4. การพัฒนาหลักสูตรจะต้องรวมถึงผลงานต่างๆ ทางด้านหลักสูตรที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหลักสูตร เนื้อหาวิชา การทำการทดสอบหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้ หรือการจัดการเรียนการสอน
            5. การพัฒนาหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการฝึกฝนอบรมครูประจำการให้มีความเข้าใจในหลักสูตรใหม่ ความคิดใหม่ แนวทางการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรใหม่
            6. การพัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ในด้านการพัฒนาจิตใจ และทัศนคติของผู้เรียนด้วย

ความหมายของหลักสูตรแฝง
              หลักสูตรแฝง เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094) ใช้คำว่า implicit curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์ (Saylor & Alexander,1974) ใช้คำว่า unstudied curriculum ถึงแม้จะใช้คำที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ต่างก็มีความหมายใกล้เคียง หรือถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกัน คือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial curriculum)
              หลักสูตรแฝง เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้ จากนิยามนี้สามารถอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจดีขึ้นโดยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมดังนี้ ในทางเปิดเผยโรงเรียนสอนคณิตศาสตร์และจัดให้เด็กชายหญิงเรียนรู้ การอ่าน การเขียน การสะกดคำและอื่นๆ แต่โรงเรียนและครูได้สอนหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติในรูปของกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิงกายภาพที่โรงเรียนจัดให้ เป็นต้นว่าสอนนักเรียนให้ทำงานตามลำพังในเชิงของการแข่งขัน หรือให้นักเรียนทำงานด้วยกันเป็นกลุ่ม สอนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำหรือเป็นถูกกระทำ ให้รู้จักพอใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงพื้นๆ หรือให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและอื่นๆ สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
              แม้จะไม่มีใครกล่าว และให้ความสนใจให้กับหลักสูตรแฝงมากนัก แต่ต้องยอมรับว่าหลักสูตรแฝงมีอยู่ในทุกโรงเรียน สไนเดอร์ (Snyder,1970) ได้ยืนยันความจริงข้อนี้ว่าไม่มีสถานศึกษาใดเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่มีหลักสูตรแฝงปรากฏอยู่และเขาได้แสดงความเชื่อต่อไปว่าหลักสูตรแฝงมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักเรียนและอาจารย์มากกว่าหลักสูตรปกติ
วิวัฒนาการของหลักสูตรแกน
              วิวัฒนาการของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรแกน เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่ เช่น นำเอาเนื้อหาของวิชาชีววิทยา สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพและอนามัยของท้องถิ่น” เป็นต้น ต่อมาภายหลังมีผู้คิดปรับปรุง การเชื่อมโยงอีก โดยยึดเอาวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกน แล้วกำหนดหัวข้อการเรียนการสอนให้ครอบคลุมวิชาอื่นๆ อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า เอาวิชาประวัติศาสตร์เป็นแกนแล้วขยายขอบเขตของเนื้อหาให้ครอบคลุมวิชาศิลปะ ดนตรี วรรณคดี วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตามการใช้วิชาเป็นแกนทั้งสองรูปแบบนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์กับปัญหาสังคมปัจจุบัน
              เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว ได้มีการปรับปรุงแนวความคิดเสียใหม่โดยถือเอาความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร แต่ก็ปรากฏว่ายังมีข้อพกพร่องอยู่อีก เพราะความต้องการของผู้เรียนกับของสังคมอาจไม่ตรงกันก็ได้ นอกจากนั้นความต้องการนั้นอาจไม่ใช่ความต้องการของผู้เรียนโดยส่วนร่วม อาจเป็นความต้องการของผู้ที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลางทำให้พวกที่มาจากชนชั้นสูงและชั้นต่ำถูกทอดทิ้งอย่างไม่เป็นธรรมก็ได้
              ในเวลาต่อมาได้มีการปรับปรุงแนวความคิดอีก รูปแบบ แบบแรกคือเอาหน้าที่ของบุคคลในสังคมเป็นแกน เช่น การรักษาสุขภาพ การเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและสังคม การประกอบอาชีพ การปฏิบัติกิจทางศาสนา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และการร่วมในกิจกรรมของท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับแบบที่สองใช้ปัญหาสังคมเป็นแกน วิธีการที่เลือกว่าปัญหาใดสำคัญอาศัยหลักว่าปัญหานั้นจะต้องมีผลพลาดพิงต่อความเป็นอยู่ของบุคคลหรือสังคมส่วนรวมมีผู้ตำหนิว่าหลักสูตรแกนมุ่งศึกษาปัญหาสังคมและการศึกษาเรื่องของผู้ใหญ่มากเกินไปจนอาจลืมความสนใจของเด็ก     ข้อตำหนินี้มีผู้แก้ต่างว่าตามความเป็นจริงและไม่ได้ละเลยความสนใจของเด็กแต่อย่างใด เป็นแต่เพียง เบนความสนใจเข้าหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น นอกจากนี้เด็กเองยังมีโอกาสได้ร่วมในการวางแผนและลงแก้มือปัญหาด้วยตนเองอีกด้วย อนึ่ง การศึกษาปัญหาสังคมเป็นส่วนรวมจะช่วยให้เด็กหรือผู้เรียนมองเห็นสภาพและแนวโน้มของสังคมตนอาศัยอยู่ได้ดีขึ้น
              จากวิวัฒนาการของหลักสูตรในสหรัฐอเมริกาทำให้เราพอจะอนุมานได้ว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน และเป็นหลักสูตรที่เน้นให้เรื่องปัญหาสังคมและค่านิยมของสังคม โดยมีกำหนดเค้าโครงของสิ่งที่จะสอนไว้อย่างชัดเจน
ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
              ดังได้กล่าวแล้วว่าหลักสูตรประสบการณ์อาศัยความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก  ในการจัดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน  ดังนั้นจึงสร้างปัญหาแก่ผู้ใช้หลักสูตรอย่างมาก  ที่สำคัญคือ
              1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร  หลักสูตรประสบการณ์นำเอาแนวความคิดใหม่มาใช้  คือแทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา  กลับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลัก  เมื่อเป็นดังนี้จึงเกิดปัญหาว่าผู้เรียนจะได้เรียนอะไร  การกำหนดเนื้อหาย่อมทำได้ยาก  ประสบการณ์ที่จัดให้ตามความสนใจอาจไม่ใช่ประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นก็ได้นอกจากนี้การที่ยึดความสนใจเป็นหลักอาจเกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของประสบการณ์รวมทั้งความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย  ปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งก็คือ  ครูหรือผู้สอนอาจเผลอนำเอาความสนใจของตนมาสรุปว่า  เป็นความสนใจของผู้เรียน  ถ้าหากเป็นดังว่าก็เท่ากับได้ทำลายหลักการของหลักสูตรนี้โดยสิ้นเชิง
              2. ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ ในการจัดแบ่งเนื้อหาในชั้นต่างๆ หลักสูตรประสบการณ์ใช้หลักเดียวกันกับหลักสูตรรายวิชา คือพิจารณาจากวุฒิภาวะ  ประสบการณ์เดิม  เนื้อหาวิชาที่เรียนมาแล้ว  ความสมใจประโยชน์และความยากง่ายของเนื้อหา  ข้อแตกต่างมีว่าหลักสูตรประสบการณ์ไม่ได้คิดเพียงการนำเอาเนื้อหาวิชามาเรียนลำดับกันเท่านั้น  แต่จะพิจารณาด้วยว่าเนื้อหาอะไรที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด  ปัญหานี้ยังหาคำตอบที่พอใจไม่ได้
              แรกทีเดียวก็เข้าใจกันว่า  การจัดแบ่งวิชาในชั้นต่างๆ  ตามแนวคิดของคิดของหลักสูตรประสบการณ์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  เพราะตราบใดที่ผู้สอนและผู้เรียนมีอิสรเสรีในการเลือกกิจกรรมด้วยตัวเองแล้วปัญหาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น  ครั้นเมื่อลงมือปฏิบัติจริงกลับปรากฏว่ามีปัญหามาก เป็นต้นว่า  ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้ำๆ กันทุกปี  ได้มีการแก้ไขโดยการจัดทำตารางสอนของแต่ละปีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ผล  เพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ควรทำอะไรกัน

วิวัฒนาการของหลักสูตรกว้าง
              หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ  จากวิชาที่โทมัส  ฮุกซเลย์  (Thomas Huxicy) สอนเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในราชสำนัก (The Royal Insutunon) ที่นครลอนดอน วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
              สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914  โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst Collge)  จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Institions) ต่อมาในปี ค.ศ. 1923  มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ วิชาเข้าด้วยกัน  ได้แก่  วิชาการคิดแบบแก้ปัญหาขั้นนำ (Introduction to Reflective  Thinking) ธรรมชาติของโลกและมนุษย์ (The Nature of the World  and  of  Man) มนุษย์ในสังคม (Man in Society) และความหมายและค่านิยมของศิลปะ (The Meaning and Value of the Arts) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นโรงเรียนมัธยมของสหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรแบบกว้างมาใช้  ทำให้เกิดหมวดวิชาต่างๆ ขึ้น เช่น  สังคมศึกษา  วิทยาศาสตร์ทั่วไป  พลศึกษา  ศิลปะ  คณิตศาสตร์ทั่วไปและภาษาในตอนแรกๆ  การจัดเนื้อหาใช้วิธีจัดเรียงกันเฉยๆ  ไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด  ทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุจุดประสงค์  เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน  ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกำหนดหัวข้อขึ้นก่อน  แล้วจึงคัดเลือกเนื้อหาที่สามารถสนองจุดประสงค์จากวิชาต่างๆ นำมาเรียงกันอีกต่อหนึ่ง  วิธีนี้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ได้  ขณะเดียวกันก็มีผลพวงตามมา  คือ  เอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไปเนื้อหาวิชาผสมผสานกันมากขึ้น  ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Cumculum)
              ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้ ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503 ได้มีการนำเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลำดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
              ในการผสมผสานวิชาหรือสาขาวิชาต่างๆ เพื่อให้ได้หลักสูตรบูรณาการนั้น ถ้าจะให้ดีจริงๆนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพยายามให้เกิดบูรณาการในลักษณะต่อไปนี้โดยครบถ้วนคือ
                   1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ แต่เดิมเมื่อสภาพและปัญหาสังคมยังไม่สลับซับซ้อน และปริมาณเนื้อหาก็ยังไม่มีมากนัก การเรียนรู้ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่นการบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจำ อาจทำได้โดยไม่มีปัญหาอะไรในกรณีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับกระบวนการเรียนรู้เกือบไม่มีอยู่เลยและการเรียนรู้ก็นับว่ามีประสิทธิภาพพอสมควร แต่ในปัจจุบันปริมาณความรู้มีมาก สภาพและปัญหาสังคมสลับซับซ้อน  การเรียนรู้จะกระทำอย่างเดิมย่อมไม่ได้ผลดี ถ้าจะให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเราจำเป็นต้องให้กระบวนการการเรียนรู้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรู้ ทั้งนี้หมายความว่าผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนจะแสวงหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวนการอย่างไร
                   2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ มีผู้กล่าวตำหนิว่าการศึกษามักจะให้ความเอาใจใส่ต่อการพัฒนาจิตใจน้อยไป คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัยอันได้แก่ความรู้ความคิดและการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และความสุนทรียภาพซึ่งตามความเป็นจริงแล้วทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เพราะการเรียนรู้วิชาการหรือทักษะในด้านหนึ่งด้านใดโดยปราศจากความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งที่เรียน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกันถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจและประทับใจ ก็จะมุ่งมั่นในการเรียนและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุนี้การสร้างบูรณาการระหว่างความรู้และจิตใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
                   3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และ                การกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา                การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสมจะปรากฏผลดีหรือไม่ยอมขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหรือการแสดงออกของผู้เรียน การแยกความรู้ออกจากการกระทำก็เหมือนกับการแยกหลักสูตรออกเป็นส่วนๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการบูรณาการความรู้และการกระทำเข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
                   4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี คือผลที่เกิดแก่คุณภาพของชีวิตผู้เรียน ด้วยเหตุนี้การบูรณาการวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเราจึงต้องแน่ใจว่าสิ่งที่สอนในห้องเรียนนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อชีวิตของผู้เรียนไม่ว่าผู้เรียนจะอยู่ที่ใด การที่ให้เกิดผลดังกล่าวได้ หลักสูตรจะต้องกำหนดให้ความสนใจและความต้องการมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน และให้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนการสอน
                   5. บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ ถ้าเรายอมรับว่าบูรณาการระหว่างความรู้กับจิตใจ และระหว่างความรู้กับการกระทำเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เราก็ย่อมจะมองเห็นความจำเป็นและความสำคัญของการที่จะบูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันซึ่งอาจทำได้โดยนำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเสริมอีกวิชาหนึ่ง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ หรือโดยกำหนดปัญหาหรือความต้องการของผู้เรียนเป็นหัวข้อแล้วกำหนดหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนการสอนขึ้น โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชามาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
หลักสูตรบูรณาการ
              หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มาหลอมรวม ทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป         การผสมผสานเนื้อหาของวิชาต่างๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกันทำได้หลายวิธี ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทำหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่อไปนี้
              1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด
                   1.เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ
                   ก. โดยธรรมชาติเด็กหรือผู้เรียนจะมีความสนใจ ฉงนสนเทห์และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ อยู่เสมอสมองของเด็กจะไม่จำกัดอยู่กับ         การเรียนรู้วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นส่วนๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการแสวงหาความรู้ก็จะเรียนรู้หลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุนี้หลักสูตรบูรณาการจึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมเพราะจะสามารถสนองความต้องการของเด็กหรือผู้เรียนได้
                   ข. จากผลการวิจัยเรื่องพัฒนาการทางปัญญาของเด็กในชั้นประถมศึกษา แสดงว่าพัฒนาการทางปัญญาจะดำเนินไปเป็นขั้นๆ แต่ละขั้นจะแตกต่างกันไปและพัฒนาการของแต่ละคนก็จะมีอัตราความเจริญต่างกัน แต่ที่สำคัญคือพัฒนาการนั้นจะดำเนินไปด้วยดีในเมื่อเด็กหรือผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ยิ่งประสบการณ์มีความหลากหลายเพียงใด โอกาสในการพัฒนาการก็ยิ่งมีมากเพียงนั้น เมื่อมาพิจารณาดูหลักสูตรบูรณาการที่มีลักษณะครอบคลุมวิชาหลายวิชาก็จะเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์หลายด้าน
                   ค. หลักสูตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ อย่างและให้ได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการสนับสนุนการเรียนรู้ อนึ่งแบบฉบับของหลักสูตรยังกระตุ้นและสนองความต้องการทางปัญญาและอารมณ์ของผู้เรียนได้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ต่อเนื่องกันไปการเรียนการสอนจะต้องดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมความคิดริเริ่มหลักสูตรแบบนี้ทำได้ดีมากส่วนดีอีกประการหนึ่งของหลักสูตรคือช่วยลดภาวะที่จะต้องท่องจำลงไปอย่างมาก
                   1.เหตุผลทางสังคมวิทยา
                   ก. เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การศึกษาจะเกิดผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อให้ผู้เรียนสามารถตอบปัญหาในชีวิตประจำวันได้ ด้วยเหตุนี้หลักสูตรจึงต้องเป็นหลักสูตรสนับสนุนสิ่งดังกล่าวซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในหลักสูตรบูรณาการกล่าวคือ ประสานสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิชาต่างๆ ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องการของชีวิต
                   1.เหตุผลทางการบริหาร
                   ก. หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตำราเรียนได้ คือแทนที่จะแยกเป็นตำราสำหรับ           แต่ละวิชา ซึ่งทำให้ต้องใช้ตำราหลายเล่ม ก็อาจรวมเนื้อหาของหลายวิชาไว้ในตำราเล่มเดียวกันและยังสามารถทำให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ในกรณีที่ขาดแคลนครู หลักสูตรบูรณาการซึ่งอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่งชั้นในเวลาเดียวกัน
                   การผสมผสานวิชาเพื่อให้ได้หลักสูตรบูรณาการ ทำได้หลายวิธีหลายรูปแบบ ดังนั้น                การตีความหมายของหลักสูตรจึงทำได้อยาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งก็คือหลักสูตรนี้ก้าวข้ามขั้นจากวิธีการที่รวมวิชาเข้าด้วยกันแบบธรรมดา ที่ยังทิ้งร่องรอยของวิชาเดิมไว้ แต่เป็นการหลอมรวมในลักษณะที่เอกลักษณ์ของวิชาเดิมไม่คงเหลืออยู่เลย ดังนั้นความรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจึงเกิดจากการเรียนรู้หลายวิชาในขณะเดียวกัน
                   ตามแนวความคิดข้างบนนี้อาจกล่าวได้ว่า หลักสูตรบูรณาการคือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ(Inter-disciplinary) คือมีการผสมผสานอย่างกลมกลืน   แนบแน่นระหว่างองค์ประกอบการเรียนรู้ทุกด้านอันได้แก่ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัยและ     มีกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นสหวิทยาการ (Inter-disciplinary Learning) ด้วย
                   ในบางตำรากล่าวว่าหลักสูตรบูรณาการ คือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นหัวข้อหรือกิจกรรม หรือปัญหา ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ
                   หลักสูตรบูรณาการที่มีใช้อยู่ในประเทศต่างๆ ในเอเชีย  มีทั้งที่เป็นหลักสูตรบูรณาการเต็มรูปและไม่เต็มรูป มีหลายประเทศที่เห็นว่าวิชาประเภททักษะเช่น คณิตศาสตร์ และภาษาถ้าจะจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดี ควรจัดหลักสูตรเป็นแบบรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
หลักการจัดหาแหล่งการเรียนรู้
            ในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีแหล่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป  การจัดหาแหล่งการเรียนรู้เพื่อการเรียนการสอน  มีหลัก 6 ประการดังนี้ (คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติสำนักงาน 2524 :9-10)
            1.ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น แหล่งการเรียนรู้ที่จะนำมาใช้จัดการเรียนการสอนควรเหมาะสมกับสภาพต่างๆ ในท้องถิ่น เช่น สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาชีพหลักของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจเป็นต้น
            2.ความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อ แหล่งการเรียนรู้ที่ดี ต้องเป็นแหล่งที่เดินทาง  ไปมา และสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวก เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้ได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า
            3.ความประหยัดและประโยชน์ การใช้แหล่งเรียนรู้ที่ดีต้องคำนึงถึงเวลาและเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินการและประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับด้วย ถ้านำมาใช้แล้วเสียเงินและเวลามากแต่ได้ประโยชน์น้อยก็ไม่สมควรใช้ เช่น พาไปศึกษาที่ซึ่งห่างไกลจากโรงเรียนมาก ครูและนักเรียนต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก ทำให้นักเรียนเหนื่อยจึงไม่มีความสนใจเท่าที่ควร
            4.ความเหมาะสมกับบทเรียนและวัยของผู้เรียน เช่น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ควรเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่สลับซับซ่อนนัก หรือให้ดูโดยรวม ไม่ต้องดูส่วนย่อยๆ เช่น พาไปดูโรงงานทอผ้าควรให้ดูเกี่ยวกับ สถานที่ วัตถุดิบ และผลผลิต ไม่ควรดูกระบวนการผลิต นอกจากนี้ วิทยากรควรใช้ภาษาง่ายๆ ที่เด็กในวัยนี้เขาใจได้ดี
            5.ความปลอดภัยและความถูกต้อง หมายถึง ความปลอดภัยทั้งในการเดินทาง ในขณะศึกษาหาความรู้ และในการนำไปใช้ด้วย   ส่วนความถูกต้องนั้น หมายถึง ความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้รับจะต้องถูกต้อง ตรงตามหลักวิชา
            6.ความรู้และประโยชน์ที่หลากหลากหลาย  เช่น  พานักเรียนไปดูการทำและจำหน่ายเครื่องจักสาน  นักเรียนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวัสดุดิบที่ใช้  กระบวนการผลิต  รูปแบบของชิ้นงาน การประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ ประโยชน์ในการใช้งาน  การจัดจำหน่าย  ได้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในการดัดแปลงวัสดุที่มีในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์  ได้เห็นวิธีการจัดร้าน วิธีการคิดราคาสินค้า เป็นการศึกษาแบบบูรณาการทั้งในด้านการทำงาน การประกอบอาชีพในชุมชน  การประกอบธุรกิจ  การรวมกลุ่ม  ความคิดสร้างสรรค์  และศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น  เป็นต้น
ประโยชน์ของการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
            การใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
            1.ทำให้นักเรียนรู้จัก และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่และหาได้ง่าย ในท้องถิ่นของตน สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษามาพัฒนาชีวิต ความเป็นอยู่หรือการนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ สามารถปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น จึงสามารถอยู่กับท้องถิ่นได้อย่างเป็นสุข
            2.ทำให้นักเรียนรัก ภูมิใจ มองเห็นคุณค่า หวงแหน อนุรักษ์ และช่วยทำนุบำรุงรักษาท้องถิ่นของตน เพราะนักเรียนได้พึ่งพาแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นในการพัฒนาศักยภาพของตน ถ้าแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ต้องศูนย์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของนักเรียนต้องลดน้อยถอยลงหรือได้ผลกระทบตามไปด้วย
            3.ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ เพราะนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงได้เห็นจริงและได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง การนำวิทยากรมาสู่ห้องเรียนหรือการพานักเรียนไปศึกษานอกโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนที่จำเจ ไปสู่การเรียนที่แปลกใหม่ นักเรียนจึงเกิดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้ การนำวัสดุในท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอนยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และของทางราชการอีกด้วย
            4.ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูหรือขาดครูที่มีความรู้ความชำนาญในการสอนบางเนื้อหาบทเรียน การนำวิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าครูมาช่วยสอนทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เต็มตามหลักสูตร
            5.การใช้วิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เกิดความเข้าใจกัน ให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการจัดการศึกษาหรือพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
            แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการจัดการเรียนการสอนมี 6 ประเภท ดังนี้
1.    บุคคล หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะสาขาหรืองานอาชีพต่างๆ ซึ่งโรงเรียนอาจเชิญมาเป็นวิทยากรในบางชั่วโมง หรืออาจจ้างสอนเป็นรายวิชาหรือเชิญเป็นอาสาสมัครสอน  เป็นพิเศษ ได้แก่ เกษตร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ พระสงฆ์ ช่างฝีมือ เกษตรตำบล ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ  ผู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น
2.       สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กรทางสังคม แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
2.1     สถานศึกษา พัฒนาและให้บริการประชาชน หมายถึง หน่วยงานที่ให้การศึกษา พัฒนาความรู้ ความสามารถ เจตคติ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด วัด สถานีทดลองข้าว สถานีประมง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น
2.2     สถานประกอบการทางธุรกิจ การค้า อุตสาหกรรม และอาชีพอิสระ ได้แก่ ร้านค้า โรงงาน ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงไก่ ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหาร ไร่ข้าวโพด นาเกลือ สวนมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น
3.    สถานที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำ ทะเล ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก  ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ เป็นต้น
4.       วัสดุและเศษวัสดุต่างๆที่มีในท้องถิ่น  แบ่งได้  2 ประเภทคือ
4.1     วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่ แร่ธาตุ ดิน หิน ทราย พืช เปลือกไม้ เมล็ดข้าว ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ฯลฯ เป็นต้น
4.2     วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากการผลิตหรือการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ ได้แก่ กระดาษ กล่องกระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เศษไม้ เศษผ้า เศษกระดาษ    เศษกระจก กระป๋อง ฝาขวดน้ำอัดลม ฯลฯ เป็นต้น
5.       สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น แผ่นพับ วารสาร หนังสือพิมพ์หนังสือ รูปภาพ ฯลฯ
6.       สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเตอร์เน็ต แผ่นซีดี – รอม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI)   วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ฯลฯ